วันที่ 6 ของทริป วันนี้มีแพลนว่าจะเดินทางไป เที่ยว Nikko ชม มรดกโลก
โดยวันที่เราเดินทางจะเป็นวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน 2567
สำหรับ Nikko ถ้าไปช่วงปลายเดือน 11 ใบไม้จะเปลี่ยนสีไปเยอะแล้ว
และ ค่อนข้างจะร่วงไปเยอะแล้วด้วยครับ แต่ช่วงที่เรามา
เนื่องจากปีนี้หนาวช้า เลยพอจะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูอยู่บ้าง
โดยสำหรับคนที่จะไปชมใบไม้เปลี่ยนสี สามารถดูพยากรณ์อากาศย้อนหลัง
และ พยากณณ์อากาศล่วงหน้า ได้ที่เว็บนี้ครับ https://www.japan.travel/
เนื่องจากก่อนหน้านี้เราตะลอนเดินทางมาหลายที่ วันนี้เลยคิดว่าอยากจะเที่ยวแบบไม่เหนื่อยหน่อย
เราเลยเลือกที่จะเดินทางไป เที่ยว Nikko ด้วยทัวร์แบบ One Day Trip
โดยเราเลือกทัวร์จาก KKday เพราะเว็บนี้ส่วนลดเยอะ โดยเฉพาะโปรวันเลขคู่
แนะนำให้เข้าไปกดเก็บโค้ดส่วนลดก่อนที่หน้านี้ครับ >>โค้ดส่วนลด<<
จากนั้นค่อยไปซื้อแพ็คเก็จทัวร์ที่หน้านี้ครับ www.kkday.com/nikko-1-day-trip-tour
โดยไฮไลท์ 4 ที่ ที่เราจะได้ไปเที่ยวใน Nikko
เรียกได้ว่าเก็บครบทั้ง โซนธรรมชาติ และ โซนมรดกในวันเดียวเลย
1. ศาลเจ้าโทโชกุ และ สะพานชินเคียว
2. ถนนอิโรฮาซากะ
3. ทะเลสาบชูเซนจิ
4. น้ำตกเคงอน
One Day Trip Nikko นี้ทัวร์นัดเราไว้ที่ Mode Academy Tokyo (Tokyo Mode Gakuen)
ซึ่งอยู่ Shinjuku โดยนัดเจอกันตอน 7.50 น. และ รถจะออกเดินทางเวลา 8.00 น.
ซึ่งเราพักอยู่ที่ Apa Hotel ย่าน Ueno ส่วนการเดินทางไม่ยาก
นั่งรถไฟสายสีเขียว Yamanote Line มาลงสถานี Shinjuku แล้วเดินมานิดนึงก็ถึงจุดนัดพบ
Mode Academy Tokyo
หลังจากขึ้นรถ ก็ตีตั๋วนอนยาว ๆ ได้เลย
แต่ระหว่างทาง คุณไกด์ของเราก็จะแนะนำกำหนดการ และสถานที่เที่ยวต่าง ๆ ในวันนี้เพิ่มเติม
โดยไกด์ของเราใน One Day Trip Nikko นี้ชื่อคุณ Carter Sasaki
ซึ่งพี่เค้าสามารถพูดได้ทั้งภาษา ญี่ปุ่น อังกฤษ และจีน สุดยอดเลย
นอกจากแนะนำแพลนในวันนี้แล้ว เค้ายังแนะนำตัวเองอีกด้วยว่าเป็น Youtubeer
และศิลปินทำดนตรีด้วย ช่วงที่เงียบ ๆ เล่าเสร็จก็หยิบไมค์มาร้องเพลงทันที
สร้างสีสรรค์ตั้งแต่ต้นทริปเลย ส่วนตัวผมฟังจบ ก็นอนต่อ 555
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. กว่าครับ โดยระหว่างทางก็จะมีแวะที่จุดพักรถ 1 ครั้ง
ให้ทำธุระส่วน หรือหาอะไรกินได้ ส่วนวันที่เราเดินทาง วันนี้มีฝนตกที่โตเกียว มาถึงจุดพักรถเลย
เราเลยไปซื้อร่มมาติดตัวไว้ แต่พอมาถึง Nikko เท่านั้น คุณไกด์ตะโกนให้ดูว่าฟ้าเปิด ฝนหยุดแล้ว !!
พอซื้อร่มเท่านั้นฝนดันหยุด 555 แต่นะ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเราที่จะได้เที่ยวในวันที่อากาศดี
จุดแรกที่เราจะได้เที่ยวคือ Nikko Toshogu ซึ่งจุดนี้ ก็จะรวมสถานที่สำคัญต่าง ๆ หลายที่เลย
เช่น สะพานชินเคียว วัดรินโนจิ ศาลเจ้านิกโกฟุตะระซัง ประตูโยเมมง
ซึ่งรถจะมาจอดส่งเราที่ร้าน Bandai ซึ่งเป็นร้านอาหาร ร้านขายของฝาก
และเป็นร้านที่เราจะทานข้าวเที่ยงกันด้วย
จากนั้นคุณไกด์ก็พาเรามุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าโทโชกุ โดยระหว่างทางก็จะผ่าน ศาลเจ้านิกโกฟุตะระซัง
และ ประตูโยเมมง ซึ่งการเข้าชมด้านในนั้นก็จะต้องซื้อตั๋วเข้าชมด้วย
แต่ทัวร์ที่เรามานั้น รวมค่าเข้าไปด้วยแล้ว สามารถรับตั๋วจากคุณไกด์และเข้าไปด้านในได้เลย
วันที่เราไปนั้น ที่นิกโก้อากาศดีมาก ๆ แม้ว่าใบไม้แดงที่นี่เริ่มน้อยและล่วงไปบ้างแล้ว
แต่ยังคงมีให้เห็นระหว่างทางที่เดิน และนั่งรถผ่าน
ส่วนท้องฟ้า ก็เปิดใสเป็นใจให้ถ่ายรูปได้สวย ๆ ทั้งวัน
แม้บริเวณศาลจ้านี้ จะค่อนข้างกว้าง แต่ด้วยอากาศที่เป็นใจแบบนี้ทำให้เดินไม่เหนื่อยเลย
ตรงนี้ของศาลเจ้านิกโกฟุตะระซัง เค้าว่าให้เดินตามเข็มนาฬิกา
แล้วลอดวงกลม 3 รอบ และอธิษฐานจะสมหวัง
ระหว่างทางจากศาลเจ้านิกโกฟุตะระซัง ไปที่ ศาลเจ้านิกโกโทโชกุ จะร่มรื่นตลอดทาง
มีต้นไม้ใหญ่บังแดด และ ริมทางก็จะมีธารน้ำไหลผ่าน โดยบางช่วงก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้เห็น
ทั้งสีแดง สีเหลือง เป็นทางเดินเข้าวัดที่สวยงามมากมาย
หน้าศาลเจ้า Nikko Toshogu นั้นเราก็จะผ่านเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สวยมาก
โดยตัวเจดีย์ 5 ชั้นที่นิกโก้นี้จะมีความสูง 36 เมตร และ สร้างจากไม้ทั้งหมด
ในแต่ละชั้นของเจดีย์เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุในพุทธศาสนา ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และฟ้า
ส่วนกลางของเจดีย์จะมีแกนลอยอยู่ภายในเจดีย์ซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อโดยตรงกับตัวเจดีย์
ช่วยให้โครงสร้างยืดหยุ่นและทนต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว
ภายในศาลเจ้า Nikko Toshogu หน้าทางเข้าจะมีจุดขายเครื่องราง
และบริเวณใกล้ ๆ กันจะมีจุดขายบัตรเข้า โดยจะมีให้เลือกซื้อด้วยเงินสด
และสามารถซื้อด้วย IC Card เช่นบัตร Suica ได้ครับ
โดยเราจะได้รับบัตรเข้าชม และด้านหลังบัตร จะมีแผนที่บอกสถานที่ต่าง ๆ ภายในไว้ด้วยครับ
สามารถเลือกเดินเข้าชมได้เลย >>แผนที่ขนาดใหญ่<<
หนึ่งในไฮไลท์ของ ศาลเจ้า Nikko Toshogu จะเป็นรูปแกะสลักลิงสามตัว
โดยจะมีตัวนึงปิดตา ปิดหู และ ปิดปาก หมายถึงไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี
ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี และ ไม่มองในสิ่งที่ไม่ดี
ช่วงที่เรามา เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ภายในศาลเจ้า Nikko Toshogu
ก็จะสามารถชมทั้งความงามของศาลเจ้า และ ใบไม้เปลี่ยนสีไปด้วยครับ
จุดนี้จะเป็นรูปแกะสลักแมวหลับ โดยรูปนี้ผู้แกะ คืออาจารย์ฮิดาริ จินโกโร่ (Hidari Jingoro)
ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากในสมัยเอโดะ ว่ากันว่าอาจารย์เป็นคนรักแมวมาก
ก่อนอาจารย์จะลงมือแกะภาพนี้ ใช้เวลาหลายเดือนในการลองผิดลองถูกหาเทคนิคใหม่ ๆ
ในการแกะสลักไม้ให้มีรูปร่างที่มีมิติเหมือนจริงมากที่สุด ทำให้ภาพแมวหลับเป็นผลงานชิ้นเอก
ของอาจารย์ฮิดาริ จินโกโร่ เป็นแรงบันดาลให้รุ่นใหม่มาจนถึงทุกวันนี้
ถัดจากรูปแกะสลักแมวหลับ จะเป็น Okumiya Haiden (Worship hall)
และ หลุมศพโชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ จุดนี้จะต้องเดินขึ้นไปนิดนึงครับ
จริง ๆ ก็ไม่นิดเท่าไหร่เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ดีที่อากาศเย็นเลยเดินได้เรื่อย ๆ
แต่เดิมสุสานของอิเอยาสุตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าคุโนซัง
จังหวัดชิซุโอกะ หลังจากที่อิเอยาสุเสียชีวิต “โทกุกาวะ ฮิเดทาดะ”
ได้สั่งให้ฝังเขาไว้ที่จุดสูงสุดของภูเขาคุโนซัง และให้สร้างอาคารศาลเจ้าแห่งแรกขึ้น
ต่อมาโชกุนคนที่ 3 “โทกุงาวะ อิเอมิตสึ” ได้มีการย้ายหลุมศพของอิเอยาสุไปที่นิกโก้
ชมตัวศาลเจ้าเสร็จ ลงมาด้านล่าง เก็บบรรยากาศโดยรอบ
โดยใกล้ ๆ ศาลเจ้า Nikko Toshogu นี้เราสามารถเดินไปยัง สะพานชินเคียว ได้ครับ
ระหว่างทางก็เพลิดเพลินไปกับใบไม้เปลี่ยนสี มีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สวยงามกมากครับ
เดินมานิดนึง ประมาณ 5-10 นาที ก็ถึงแล้วครับ สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge)
โดย สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) หรืออีกชื่อ “สะพานศักดิ์สิทธิ์”
สะพานชินเคียวนั้นได้รับการจัดอันดับให้ติด 1 ใน 3 ของสะพานที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น
เดิมทีบริเวณนี้จะมีแต่แม่น้ำ วันนึงมีพระสงฆ์โชโดะ หัวหน้านักบวชองค์แรกของนิกโก้
มาเจอกับสถานที่แห่งนี้ ท่านเลยได้ขอพรแก่เทพแห่งภูเขาช่วยดลบันดาล
ให้สามารถข้ามแม่น้ำแห่งนี้ได้ จากนั้นก็มีงูสองตัวปรากฏตัวขึ้น และกลายร่างเป็นสะพานชินเคียว
ซึ่งก่อนหน้านี้สะพานยังไม่อนุญาติให้คนทั่วไปข้าม
ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 ได้มีการซ่อมสะพาน และ เปิดให้สามารถใช้งาน
โดยมีค่าบริการเข้าคนละ 300 เยน ครับ
หลังจากไปทานอาหารเที่ยงที่ร้าน Bandai (ร้านที่เรามาถึงตอนแรก)
จุดต่อมา ยังไม่ทันได้หลับก็ถึง ทะเลสาบชูเซนจิ แล้วครับ
จุดสุดท้าย น้ำตกเคงอน ตรงนี้แอบเสียใจนิดนึง คือช่วงที่เรามาใบไม้บริเวณนี้เปลี่ยนสีหมดแล้ว
และ อยู่ในช่วงที่ใบไม้ร่วงไปซะเยอะแล้วด้วยครับ
ใกล้ ๆ กับลานจอดรถ จะมีร้านอาหารและร้านของฝาก แต่คุณไกด์ยังไม่ให้แวะ ให้เดินตามกันไปก่อน
ซึ่งจุดหมายของเราคือน้ำตกเคงอน โดยจุดนี้ เราสามารถเดินลงตามทางปกติ
หรือ สามารถลงลิฟท์ก็ได้ครับ ซึ่งก็จะมีค่าบริการนิดหน่อย และกับความสะดวกสะบายของเรา
ส่วนตัวผมนั้น ก็เลือกที่จะลงด้วยลิฟท์ครับ แป๊ปเดียวถึง
มาถึงแล้ว น้ำตกเคงอน ใบไม้หายไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่น้ำ
จุดชมวิวตรงนี้จะมีสองชั้น เลือกมุมถ่ายกันได้เลย
และบริเวณนี้ ก็ยังมีร้านขายของฝากอีกจุดนึงด้วยครับ
ขากลับแวะร้านนี้หน่อย เล็งไว้ตั้งแต่ตอนมาละ หอมเหลือเกิน
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือการย่างปลาของเค้า โดยเค้าจะก่อไฟไว้ตรงกลาง
และ โดยเค้าจะเอาปลาอายุ ที่หมักเกลือไว้แล้ว เสียบรอบ ๆ กองไฟ แล้วค่อย ๆ หมุน
ผมเองก็เพิ่งจะเคยทานปลานี้ครั้งแรก หนังจะบาง ๆ ครับ เนื้อขาวนุ่ม ก้างไม่เยอะ
โดยร้านก็จะมีกล่องโฟนวางรองมาให้ และมีที่ให้เรานั่งทานบริเวณนั้น
อากาศหนาว ๆ นั่งกินปลาย่างร้อน ๆ อย่างฟิน
ร้านขายของฝากตรงนี้ จะมีของฝากน่ารัก ๆ เยอะเลยครับ แถมราคาไม่แพงด้วย
ผมได้สายคล้องมาอันนึง ข้างในมี 3 ชิ้น เป็นลิงปิดตา ปิดหู ปิดปาก สวยดี
จากนั้นเราก็จะตีตั๋วนอน เดินทางกลับ Tokyo กัน โดยทางทัวร์ก็จะพาเราไปส่งที่ Shinjuku
ตรง Tokyo Mode Gakuen ซึ่งก็คือจุดที่รับเราตอนเช้า
ซึ่งใช้เวลาเดินทางกลับประมาณ 2 ชม. เหมือนตอนมาครับ
โดยจะมีแวะที่จุดพักรถ 1 ครั้งให้เข้าห้องน้ำเหมือนตอนมา
ซึ่งก็จะถึงบริเวณ Shinjuku ประมาณ 19.00 น. ครับ
โดยรวมทริปวันนี้ประทับใจมากครับทั้งในเรื่องของการเดินทาง
และเรื่องของเวลาที่ไม่ต้องเร่งจนเกินไป
เนื่องจากเราไม่ต้องหาข้อมูล หรือ เตรียมความพร้อมในการเดินทางเองเลย
เพราะทริปนี้ผมมาประมาณ 11 วัน ซึ่งหาและเตรียมข้อมูลมาอย่างแน่น
ก็จะมีวันนี้แหละ ที่ไป Nikko กับทัวร์ เป็นวันเดียวเลยที่ไม่ต้องแพลนหรือเตรียมตัวอะไร
แค่ลากตัวเองมาจากโรงแรมตอนเช้าไปให้ถึงจุดนัดพบได้ก็จบแล้ว สบายสุด ๆ
สุดท้ายนี้ขอปิดท้ายด้วยรูปคุณไกด์ที่ร้องเพลงสร้างสีสรรค์ให้บนรถตอนขามาครับ
จะไม่ให้นอนหลับกันเลยทีเดียว 555
No Comments Yet